มีใครเคยเจอปัญหาเชื้อราแมวบ้างมั้ยคะ?? ลักษณะของมันสังเกตได้ไม่ยาก น้องแมวจะมีขนร่วงเป็นวง ๆ ซึ่งหากเจ้าของนำอาการเหล่านี้ไปค้นหาในอากู๋ ก็จะมีคำแปลก ๆ โผล่ขึ้นมา นั่นคือ “Ringworm ในแมว” ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเชื้อราในแมว มาจากการที่ขอบผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อราตกสะเก็ด ยกตัวขึ้นมาเหมือนวงแหวน เลยเรียกกันตรง ๆ แบบนี้นั่นเอง
มาเรียนรู้วิธีสังเกตเชื้อราแมวกัน
หลายคนกังวลใจ เพราะกำลังเจอกับปัญหาน้องแมวสุดรักมีผิวหนังอักเสบ แดงเป็นวง ๆ ไม่แน่ใจว่าใช่เชื้อราแมวหรือไม่ บทความนี้หมอจะมาอธิบายถึงลักษณะของแมวที่เป็นเชื้อรา รวมถึงวิธีการตรวจสอบและการรักษาที่ช่วยให้หายขาดอย่างถาวร มาเรียนรู้กันเลย
เชื้อราแมวเกิดจากอะไร แล้วน้องแมวเป็นโรคนี้ง่ายมั้ย
แหล่งอ้างอิง: ภาพแสดงแมวที่เป็นเชื้อรา
จริง ๆ แล้วเชื้อราในแมวติดกันไม่ง่ายค่ะ แต่ถ้าติดแล้วก็มักเจอปัญหาเป็น ๆ หาย ๆ เรียกว่าเป็นโรคที่สร้างความรำคาญให้ทั้งน้องแมวและเจ้าของเลย
เชื้อราแมวที่ก่อโรคจะมีด้วยกันหลัก ๆ 2 สายพันธุ์ คือ Microsporum และ Trichophyton สำหรับเราคนเลี้ยงไม่มีความจำเป็นต้องจำชื่อค่ะ แต่ให้รู้ไว้ว่าเชื้อราทั้งสองชนิดนี้มีวิธีการวินิจฉัยโรคที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่แล้วเชื้อราที่พบในแมวจะเป็น Microsporum (ประมาณ 98% ในการตรวจ) และพบบริเวณใต้ผิวหนัง ขน และเล็บของน้องแมว
เชื้อราแมวติดคนหรือแมวที่เลี้ยงด้วยกันได้อย่างไร
แหล่งอ้างอิง: ภาพแสดงแมวที่เป็นเชื้อรา
การติดต่อกันของเชื้อราในแมว จะเกิดจากการสัมผัสกันโดยตรงกับแมวที่ป่วยหรือแมวที่เป็นพาหะ รวมถึงติดต่อผ่านการใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น ที่นอน ผ้า แปรงหวีขน แบตตาเลี่ยน ของเล่น ชามอาหาร เป็นต้น น้องแมวที่นอนในกรงเดียวกัน จะมีแนวโน้มติดเชื้อราได้ง่ายกว่าน้องแมวที่แยกบริเวณนอนในบ้าน
นอกจากจะติดกันได้ระหว่างแมวที่เลี้ยงด้วยกันในบ้านแล้ว เชื้อรายังสามารถติดไปยังสุนัขและคนเลี้ยงได้อีก ดังนั้นโรคนี้ถือเป็นโรคติดต่อจากสัตว์มาสู่คน เจ้าของแมวควรระมัดระวังในการสัมผัสบริเวณต้องสงสัยว่าเป็นโรคเชื้อราในแมว
สังเกตลักษณะเชื้อราแมวบนผิวหนังได้จากอะไร
แหล่งอ้างอิง: ภาพแสดงแมวที่เป็นเชื้อรา
แมวที่เป็นเชื้อราอาจพบลักษณะตั้งแต่ขนร่วงเป็นวงเล็ก ๆ มีผิวหนังลอกออกมาเป็นขลุยคล้ายสะเก็ดรังแคในคน ไปจนถึงพบขนร่วงเป็นหย่อม ๆ กระจายเป็นวงกว้างตามตัวน้องแมว
เบื้องต้นเจ้าของสามารถแยกความแตกต่างของโรคเชื้อราแมว ด้วยการสังเกตลักษณะของผิวหนังบริเวณที่พบขนร่วง ขอบของผิวหนังจะมีการยกตัวขึ้นมาคล้ายวงแหวน (Ringworm) ขนที่ติดเชื้อราบริเวณนั้นจะเปราะแตกหักง่าย และมักพบได้บริเวณศีรษะ ใบหู เท้า น้องแมวที่เป็นโรคนี้จะไม่แสดงอาการคัน ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย หากเจ้าของต้องการสัมผัสขอบของวงแหวน อย่าใช้มือเปล่าเด็ดขาด เพราะเชื้อราสามารถติดต่อสู่คนได้
เชื้อราแมวเกิดจากอะไร และติดคนได้อย่างไร
น้องแมวสามารถติดเชื้อราได้จาก 2 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้
1. อายุของแมวมีผลต่อการเกิดโรคเชื้อรา
อายุที่แตกต่างกันมีผลต่อระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย ดังนั้นลูกแมวจึงมีโอกาสพบเชื้อราบนผิวหนังได้ง่ายกว่าแมวที่โตแล้ว เพราะลูกแมวก็เหมือนกับเด็ก ๆ ที่ร่างกายยังมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคน้อย เมื่อสัมผัสกับเชื้อราจึงมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าแมววัยอื่น ๆ ซึ่งอาจจะได้รับเชื้อแต่ไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา แมวโตยังสามารถเป็นพาหะนำโรคไปยังแมวตัวอื่นภายในบ้านได้ ดังนั้นบางบ้านที่มีแมวแม่ลูกอ่อน เราอาจจะพบลูกแมวเป็นเชื้อราตามผิวหนังได้ ซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับแม่แมวที่มีเชื้อราในขณะที่ดูดนมแม่นั่นเอง
2. ปริมาณและสปอร์ของเชื้อรามีผลต่อการเกิดโรค
แหล่งอ้างอิง: ภาพแสดงแมวที่เป็นเชื้อรา
โดยส่วนใหญ่เราจะพบทั้งเชื้อราและสปอร์กระจายอยู่ทั่วไปตามสิ่งเเวดล้อม และอยู่ติดทนนานเป็นปี ๆ เชื้อราและสปอร์เหล่านี้พบว่าสามารถขยายจำนวนเพิ่มได้อีก หากเชื้ออยู่ในอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม ดังนั้นเมื่อแมวมีภูมิคุ้มกันลดลงหรือมีการนำแมวเด็กเข้ามาเลี้ยง ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อราได้ง่าย
การวินิจฉัยโรคเชื้อราแมว
วิธีการตรวจเชื้อราจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่พบ ซึ่งจะมีหลักการตรวจอยู่ด้วยกัน 2 วิธี
- แบบที่ 1 การส่องด้วยไฟ Wood Lamp หรือไฟสีม่วง Ultraviolet วิธีนี้จะใช้วินิจฉัยเชื้อรา กลุ่ม Microsporum โดยเมื่อคุณหมอส่องไฟไปยังขนที่ร่วงเป็นวง ๆ หากมีเชื้อราบริเวณนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเรืองแสงออกมา ในขณะที่เชื้อรากลุ่ม Trichophyton จะไม่ติดสีเรืองแสง ซึ่งต้องใช้การตรวจวินิจฉัยอีกวิธี
- แบบที่ 2 การเก็บขนตำเเหน่งที่สงสัยมาเพาะเชื้อรา กรณีตรวจด้วยวิธีแรกไม่พบเชื้อรา คุณหมอจะขอทำการเก็บขนมาเพาะเชื้อราต่อ ซึ่งต้องใช้เวลารอผลอีกประมาณ 1-3 สัปดาห์ แต่ข้อดีของวิธีนี้คือสามารถวินิจฉัยเชื้อราได้ทั้ง 2 สายพันธุ์
เชื้อราแมวรักษาได้อย่างไร
แหล่งอ้างอิง: ภาพแสดงแมวที่เป็นเชื้อรา
เมื่อพบว่าน้องแมวที่บ้านติดเชื้อรา เราจะมีวิธีรักษาอยู่ด้วยกัน 3 วิธี ดังนี้
1. การรักษาเชื้อราแมวด้วยการทายาเฉพาะที่
การใช้ครีมทาหรือสเปรย์พ่นฆ่าเชื้อราทุกวัน รวมถึงมีการใช้แชมพูยาฆ่าเชื้อรา มักเป็นวิธีนี้ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กันในการดูแลสุขลักษณะของแมว หมอมีข้อแนะนำเพิ่มเติมให้ดังนี้
- สำหรับแมวขนยาวหากพบว่าติดเชื้อรา หมอแนะนำให้โกนขนทิ้งเพื่อง่ายต่อการฟอกแชมพูยา การอาบด้วยน้ำยาให้ทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง และต้องฟอกแชมพูพักทิ้งไว้ที่ผิวหนังอย่างน้อย 5-10 นาที
- ไม่ควรรีบล้างแชมพูยาเร็วจนเกินไป เพราะจะทำให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากยายังไม่ซึมไปยังผิวหนังที่ติดเชื้อ
- ใส่ถุงมือร่วมด้วยทุกครั้งในการทายาหรือสัมผัสตัวน้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อราติดมายังคนเลี้ยง
- กรณีที่ไถขนน้องทิ้ง ให้เก็บกวาดใส่ถุงขยะ ปิดปากถุงและกำจัดให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันขนที่มีสปอร์ของเชื้อราปลิวไปติดสัตว์ตัวอื่นได้อีก
- การส่งแมวไปยังร้านอาบน้ำตัดขน ให้เจ้าของแจ้งทางร้านเกี่ยวกับเชื้อราบนผิวหนัง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังการสัมผัส รวมถึงมีการทำความสะอาดอุปกรณ์ภายหลังการใช้งาน
2. การรักษาเชื้อราแมว ด้วยการให้ยากินร่วมกันยาทาเฉพาะที่
การกินยาฆ่าเชื้อราร่วมกับยาทาหรืออาบจะช่วยฆ่าสปอร์และเชื้อราได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแพร่กระจายไปยังคนหรือสัตว์อื่น ๆ ภายในบ้าน ดังนั้นการกินยาฆ่าเชื้อราร่วมด้วยจึงให้ประสิทธิภาพในการรักษาที่รวดเร็วกว่าเพียงการใช้ยาทาเฉพาะที่ สำหรับการกินยาฆ่าเชื้อราจะใช้ระยะเวลาในการกินตั้งแต่ 6 สัปดาห์จนถึง 3 เดือน จากนั้นคุณหมอจะทำการเพาะเชื้อราเพื่อตรวจเช็คอีกครั้ง โดยจะทำทั้งหมด 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน
เชื้อราแมวสามารถกลับมาเป็นซ้ำใหม่ได้มั้ย
แหล่งอ้างอิง: ภาพแสดงแมวที่เป็นเชื้อรา
คำตอบคือ ได้ เพราะสปอร์ของเชื้อราสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานถึง 18 เดือน ดังนั้นน้องแมวที่รักษาเชื้อราหายแล้ว หากยังมีการสัมผัสกับสปอร์ของเชื้อราซึ่งอยู่ตามบริเวณของใช้ทั่วไปภายในบ้าน ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำใหม่ได้อีก
คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับบ้านที่มีแมวเป็นเชื้อรา
เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพที่ดี และเจ้าของไม่ต้องกังวลการกลับมาติดซ้ำของโรคเชื้อราในน้องแมว คุณหมอขอแนะนำข้อควรปฏิบัติดังนั้น
- หมั่นดูแลทำความสะอาดสิ่งของ อุปกรณ์ หวี แปรง แบตตาเลี่ยนที่ใช้ไถขน ที่นอน กรง และสิ่งแวดล้อมที่น้องแมวอาศัยอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ
- หากพบแมวในบ้านติดเชื้อรา ให้รีบแยกออกจากแมวตัวอื่นทันที และพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อยืนยันการเป็นโรค
- กรณีที่เริ่มสงสัยว่าแมวตัวอื่นภายในบ้านติดเชื้อราเพิ่ม ให้นำแมวทั้งหมดไปตรวจวินิจฉัย และทำการรักษาโรคพร้อม ๆ กัน ไม่ควรทยอยรักษาทีละตัว เพราะสปอร์เชื้อราจะยังวนเวียนอยู่ภายในบ้าน ทำให้น้องแมวที่หายแล้วมีโอกาสรับเชื้ออีกครั้งและติดโรคซ้ำอีก
- เลือกใช้น้ำยาที่สามารถฆ่าเชื้อราและสปอร์ได้ เช่น ไฮเตอร์น้ำสำหรับฟอกผ้าสีขาว โดยจะผสมไฮเตอร์ 1 ส่วน กับน้ำอีก 9 ส่วน แช่อุปกรณ์ต่าง ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง เพื่อป้องกันการตกค้างของไฮเตอร์ ที่จะทำให้เกิดการระคายผิวหนังของน้องแมว ทำความสะอาดด้วยวิธีนี้อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และทำต่อเนื่องเป็นเวลา 3 สัปดาห์ หากต้องการนำน้ำยามาพ่นกรงหรือถูพื้น ให้นำแมวออกจากบริเวณนั้น ๆ ก่อน และเมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยนำแมวกลับมาอยู่ที่เดิม
เชื้อราเมื่อเป็นแล้วหายยาก ดังนั้นการรักษาจะใช้เวลานานและอาจต่อเนื่อง 3-5 เดือน หมอหวังว่าบทความนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกท่านค่ะ
หากคุณกำลังมองหาช่องทางในการขยายธุรกิจและเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด มาร่วมเป็น Partner กับ Deemmi Pet สิคะ เรามีทีมการตลาดดิจิทัลมืออาชีพ พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนคุณอย่างเต็มที่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line: @deemmipet
บทความน่าสนใจของ DEEMMI: แมวถ่ายเหลว สีเหลือง สีอึแมวบอกถึงสุขภาพได้
แหล่งอ้างอิง: Ringworm: A Serious but Readily Treatable Affliction
สพ.ญ. กรกช ศิริวิบูลย์ไชยกุล
คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์