วันก่อนมีโอกาสไปเดินเล่นแถวตลาดนัด อยู่ ๆ ก็เหมือนถูกสะกดจิตให้ต้องหันไปทางซ้าย เพื่อจ้องมอง “น้องปุกปุย…ขนยาวสีขาวราวปุยเมฆ ตัวอ้วนกลมหูยาวออกเทานิด ๆ” เจ้าตัวเล็กขนนุ่มกำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ในกรงที่เจ้าของเอามาวางไว้หน้าร้าน เราหยุดยืนมองอยู่นาน และสุดท้ายก็ได้น้องกลับบ้านไปเลี้ยงดูสมใจ ว่าแต่มือใหม่หัดเลี้ยงกระต่ายอย่างเรา มีเรื่องอะไรต้องรู้อะไรบ้างนะ ???
สำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงกระต่าย ต้องรู้อะไรบ้าง
1. เลี้ยงกระต่ายให้ดี ต้องหัดอุ้มให้ถูกต้อง
อย่างแรกที่ควรรู้คือ “ห้ามหิ้วหูกระต่าย” เพราะเป็นส่วนที่มีทั้งเส้นเลือดและเส้นประสาทอยู่มากมาย เรียกว่าเป็นจุดตายของกระต่ายได้เลยเพราะเป็นส่วนที่ละเอียดอ่อนมาก วิธีการอุ้มที่ถูกต้องคือ ให้อุ้มเหมือนเด็กทารก ใช้มือข้างนึงสอดเข้าไปใต้ขาหน้าทั้ง 2 ข้าง แล้วใช้มืออีกข้างประคองที่ก้นของน้องเอาไว้
2. เตรียมบ้านเลี้ยงกระต่าย อย่าลืมดูขนาดตัวน้อง
กระต่ายเป็นสัตว์ที่ชอบมีพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้นการเลือกกรงควรมีขนาดที่ใหญ่กว่าตัวน้องพอสมควร กรงควรเป็นวัสดุที่ทำจากโลหะ เช่น ลวดหรือสแตนเลส หลีกเลี่ยงการใช้กรงพลาสติก เนื่องจากกระต่ายอาจกัดแทะจนเป็นอันตรายได้ แนะนำว่าให้เลือกกรงเผื่อขนาดของกระต่ายในช่วงโตเต็มวัยไว้ด้วย เพราะจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ
สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่เลี้ยงกระต่ายอยู่นอกบ้าน ต้องระวังเรื่องฟ้าฝนและแสงแดดที่ส่องตรงมายังน้อง พื้นที่วางกรงควรอยู่ในบริเวณที่เหมาะสม มีอากาศถ่ายเทดีแต่ไม่มีลมโกรกจนเกินไป มีหลังคาหรือผ้าปิดเพื่อบังแดงบังฝนและมีสิ่งปูรองนอน เช่น ฟางหรือหญ้าแห้ง เพื่อป้องกันความเย็นในช่วงเวลากลางคืน ที่สำคัญถ้าเลี้ยงน้องร่วมกับน้องหมาน้องแมว ควรยกกรงขึ้นที่สูงเพื่อป้องกันอันตรายหรือการทำร้ายจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ ด้วย เพราะน้องกระต่ายขี้ตกใจมากกก
3. การเตรียมถาดน้ำถาดอาหารให้กระต่าย ต้องระวังเรื่องความสะอาด
ถาดที่จะให้กระต่ายกิน ควรเน้นเป็นพาชนะที่ง่ายต่อการทำความสะอาดทุกวัน เช่น พลาสติกหรือสแตนเลส ซึ่งสามารถนำออกมาทำความสะอาดได้ง่าย ไม่แนะนำให้ใช้ถาดที่ผูกติดล็อคตายกับกรง เพราะอาจมีบางส่วนของถาดที่ยากต่อการเช็ดทำความสะอาด ซึ่งกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ทำให้น้องกระต่ายป่วยได้ในที่สุด
สำหรับการวางน้ำไม่แนะนำให้ใส่ถาด เพราะกระต่ายจะเอาปากลงไปเล่นทำให้ป่วยเป็นหวัดได้ ควรเลือกเป็นขวดน้ำที่มีปลายท่อยื่นออกมาเพื่อให้กระต่ายดูดกินแทน และต้องมีการทำความสะอาดขวดน้ำบ่อย ๆ เนื่องจากอาจมีตะไคร่เกาะอยู่ข้างในได้
4. เลี้ยงอาหารลูกกระต่าย ต้องเลือกที่ย่อยง่าย
กระเพาะของลูกกระต่ายจะเล็กกว่ากระต่ายโตเต็มวัย ดังนั้นเวลาเราให้อาหารต้องให้ทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง เพราะน้องจะอิ่มไวมาก ๆ อาหารที่จะให้ลูกกระต่ายก็ต้องเป็นชนิดที่ย่อยง่าย เช่น นมแพะ เป็นต้น ไม่ควรเอานมวัวให้กิน เพราะน้องอาจจะป่วยได้จากอาหารไม่ย่อย
ช่วง 2-3 สัปดาห์แรก ๆ น้องจะยังไม่คุ้นชินอาหาร เราต้องคอยป้อนน้องกระต่ายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แต่เมื่อน้องเริ่มปรับตัวและช่วยเหลือตัวเองได้ เราสามารถปล่อยให้น้องเดินมากินเอง และอาจเริ่มปรับเปลี่ยนจากนมมาเป็นอาหารสำเร็จรูปในท้องตลาด รวมถึงการฝึกน้องให้กินหญ้าเสริมได้เช่นกัน
5. เลี้ยงกระต่ายโต อย่าลืมสังเกตอุจจาระ
หลังจากกระต่ายอายุ 3 สัปดาห์ขึ้นไป ระบบย่อยอาหารของกระต่ายจะพัฒนามากขึ้น เราสามารถเริ่มให้น้องลองกินหญ้าและอาหารเม็ด โดยให้ทีละน้อยแต่บ่อยครั้งในช่วงแรก พยายามสังเกตลักษณะของอุจจาระน้องร่วมด้วย หากมีความผิดปกติให้รีบพาไปพบคุณหมอทันที
สำหรับหญ้าที่แนะนำให้น้องกินในช่วงแรก คือ หญ้าแพงโกล่าและหญ้าอัลฟาฟ่า เพราะย่อยได้ค่อนข้างง่าย เราสามารถผสมหญ้าลงไปในอาหารเม็ดได้เลย โดยช่วงแรกอาจให้อาหารเม็ดเยอะหน่อยเพราะน้องกำลังโต แต่เมื่อน้องอายุเกิน 7 เดือนขึ้นไปต้องมีการควบคุมปริมาณอาหารเม็ด เนื่องจากจะมีปริมาณโปรตีนและไขมันที่สูงทำให้กระต่ายอ้วนง่ายมาก หรืออาจปรับไปใช้อาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้นและจำกัดปริมาณไขมันก็ได้ จะช่วยให้กระต่ายสุขภาพดีและแข็งแรง
6. แหล่งเยื่อใยก็สำคัญนะ กับการเลี้ยงกระต่าย
อาหารเยื่อใยสูงส่วนใหญ่เราก็มักจะให้หญ้าเป็นหลัก เพราะหาง่ายและไม่ค่อยเน่าเสีย เราสามารถให้น้องกินหญ้าได้ไม่จำกัดเพราะช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายที่ดี แถมการกัดกินหญ้ายังช่วยให้ฟันของกระต่ายไม่ยาวมากจนเกินไปด้วย
สำหรับผักสดก็ถือเป็นหนึ่งในอาหารที่ให้กากใยสูง และยังช่วยเพิ่มน้ำเข้าไปในร่างกายของกระต่าย เนื่องจากในผักจะมีปริมาณน้ำอยู่ค่อนข้างเยอะ ผักที่แนะนำให้น้อง ได้แก่ แครอท บร็อคโคลี่ หรือผักขม ซึ่งหากเรานำมาให้น้องกิน ต้องเน้นความสดใหม่และมีการล้างทำความสะอาดให้ดี ระวังการให้ผักค้างคืนเพราะอาจเน่าเสียจนทำให้น้องกินเข้าไปแล้วป่วยได้ ข้อควรระวังอีกอย่างของการให้กินผักสด คือ การสะสมของตะกอนในปัสสาวะซึ่งพบได้ในแครอท ทำให้น้องมีโอกาสเกิดนิ่วได้สูง ดังนั้นแนะนำว่าหากอยากเสริมผักสด ให้เปลี่ยนชนิดผักไปเรื่อย ๆ ไม่ควรให้น้องกินอย่างเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
7. การให้ผลไม้กับกระต่าย ต้องไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
ผลไม้เป็นสิ่งโปรดปรานของเจ้าปุกปุยเลยก็ว่าได้ เนื่องจากรสหวานและความอิ่มน้ำของเนื้อผลไม้ที่ทำให้กระต่ายชอบกิน ผลไม้ควรให้เป็นอาหารเสริมไม่ใช่มื้อหลัก หรือใช้เป็นรางวัลในการฝึกน้อง แนะนำให้ไม่เกิน 2-3 ช้อนโต๊ะต่อวัน เพราะความหวานอาจทำให้น้องอ้วนได้เช่นกัน ระวังผลไม้เน่าเสียซึ่งเกิดจากการกินเหลือของกระต่ายแล้ววางทิ้งไว้ แนะนำให้เก็บออกทันทีที่น้องอิ่มแล้ว และควรสลับชนิดผลไม้ให้น้องกินเช่นเดียวกันกับผัก เนื่องจากอาจมีสารตกค้างบางอย่างสะสมในผลไม้และเป็นอันตรายกับกระต่ายได้
8. การอาบน้ำกระต่าย ต้องระวังเรื่องน้ำเข้าหู
สำหรับกระต่ายอายุไม่เกิน 3 เดือน ไม่แนะนำให้พาไปอาบน้ำเพราะจะป่วยได้ง่าย การทำความสะอาดให้เน้นใช้ผ้าหรือทิชชู่เปียกเช็ดตามบริเวณลำตัวเท่านั้น
สำหรับกระต่ายที่โตเต็มวัยและมีสุขภาพแข็งแรง เราสามารถพาน้องไปเล่นน้ำในกะละมังได้ แต่ต้องระวังน้ำเข้าหู แนะนำให้ใช้วิธีบีบหูน้องในขณะที่ตักน้ำราดตามลำตัว การเลือกแชมพูทำความสะอาดกระต่ายต้องระวังปัญหาระคายเคือง ซึ่งมักเจอในแชมพูที่มีการใส่กลิ่นน้ำหอมทำให้กระต่ายขนร่วงจากการแพ้สารในแชมพู ดังนั้นอาจเลือกใช้เป็นแชมพูของเด็กจะปลอดภัยมากกว่า หลังการอาบน้ำทุกครั้งให้เช็ดทำความสะอาดขนจนแห้ง อาจใช้ไดร์เป่าลมเย็นเป่าเพื่อให้มั่นใจว่าขนของน้องแห้งสนิท ไม่เกิดการสะสมความชื้นเอาไว้
9. ตัดเล็บกระต่ายเป็นเรื่องสำคัญมาก ป้องกันการบาดเจ็บได้
หลาย ๆ คนกลัวการตัดเล็บน้องเพราะกังวลว่าน้องจะเจ็บ หรือเคยมีประสบการณ์ตัดเล็บกระต่ายลึกเกินไปจนเลือดไหลออกมา แต่การตัดเล็บเป็นเรื่องจำเป็น เพราะถ้าปล่อยให้ยาวจนเกินไป มีโอกาสที่เวลาน้องวิ่งเล่นแล้วจะทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
การตัดเล็บควรใช้กรรไกรเฉพาะของกระต่าย หรือหากรรไกรตัดเล็บของน้องหมามาตัดก็ได้ วิธีการตัดเล็บจะเน้นการตัดเฉพาะส่วนปลายที่แหลมคม อย่าตัดลึกจนถึงเส้นสีชมพูเพราะเป็นส่วนที่มีเส้นเลือดฝอยอยู่เยอะ ทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้ เมื่อตัดเล็บเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ตรวจเช็คความคมอีกรอบ หากมีเล็บบางส่วนแตกเกิดเป็นความคม ต้องทำการตะไบส่วนนั้นออก
10. เลี้ยงกระต่ายให้สุขภาพดี ต้องมีการฝึกสอนน้องขับถ่าย
บางคนนิยมเลี้ยงกระต่ายนอกกรง ดังนั้นต้องมีการสอนให้กระต่ายขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ซึ่งเจ้ากระต่ายนั้นกว่าจะฝึกได้ใช้เวลานานกว่าสัตว์เลี้ยงอย่างน้องหมาน้องแมวมาก สำหรับวิธีการก็คล้ายกับการฝึกแมว คือ สอนให้รู้จักตำแหน่งที่วางกระบะขับถ่าย และทุกครั้งที่เห็นท่าทางของน้องมีอาการอยากจะฉี่หรืออึ ให้รีบอุ้มน้องไปยังบริเวณนั้น ฝึกจนกระทั่งน้องเริ่มชินกับพื้นที่ขับถ่ายและกลิ่นฉี่บริเวณนั้น น้องจะเริ่มเรียนรู้ได้เอง
หากคุณกำลังมองหาช่องทางในการขยายธุรกิจและเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด มาร่วมเป็น Partner กับ Deemmi Pet สิคะ เรามีทีมการตลาดดิจิทัลมืออาชีพ พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนคุณอย่างเต็มที่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line: @deemmipet
บทความน่าสนใจของ DEEMMI: 4 เหตุผล ทำไมกระต่ายชอบเลียขน
แหล่งอ้างอิง: Beginner Care For Rabbits
สพ.ญ. จันทร์จรัส ปิยะพรมดี
คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์